การจ่ายหนี้ล่าช้า หรือไม่ชำระหนี้ จะส่งผลเสียถึง 4 เรื่อง | Micro Leasing

การจ่ายหนี้ล่าช้า หรือไม่ชำระหนี้ จะส่งผลเสียถึง 4 เรื่อง

14 June 2023
การจ่ายหนี้ล่าช้า หรือไม่ชำระหนี้ จะส่งผลเสียถึง 4 เรื่อง

หนี้สินเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเผชิญหน้าในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อบ้าน หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล การมีหนี้สินไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่การผิดนัดชำระหนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะจะมีผลกระทบต่อการเงินและประวัติของคุณอย่างมาก ไมโครลิสซิ่งจะมาบอกผลเสียการจ่ายหนี้ล่าช้า หรือไม่ชำระหนี้ ถึง 4 เรื่องด้วยกัน

1. เสียค่าใช้จ่ายที่ที่เพิ่มขึ้น


สิ่งแรกที่คุณจะต้องเผชิญเมื่อผิดนัดชำระหนี้คือ ค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะคุณจะต้องจ่ายค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เหล่านี้

**ค่าปรับ** เป็นค่าใช้จ่ายที่สถาบันการเงินคิดให้คุณ เพื่อทวงถามและติดตามการชำระหนี้ของคุณ โดยแต่ละสถาบันการเงินจะมีอัตราค่าปรับที่แตกต่างกัน และจะถูกทบไปในบิลถัดไป

**ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้** เป็นดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินคิดให้คุณ เพื่อปรับสำหรับการชำระหนี้ล่าช้า โดยดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะถูกคิดบนยอดเงินต้นของค่างวดที่คุณผิดนัดชำระ เช่น ถ้าคุณผิดชำระค่างวด 10,000 บาท ที่ประกอบไปด้วยเงินต้น 7,000 บาท และดอกเบี้ย 3,000 บาท คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนยอดเงินต้น 7,000 บาท โดยคิดตามจำนวนวันที่คุณผิดนัดชำระหนี้

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะทำให้ภาระหนี้สินของคุณเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม และถ้าคุณไม่ชำระหนี้สักที ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จะถูกคิดไปเรื่อย ๆ จนอาจกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้ในที่สุด

หาก
งวดต่อมา จ่ายไม่ครบตามยอดเรียกเก็บทั้งหมด (เช่น จ่ายเฉพาะเงินต้นและดอกเบี้ย) เจ้าหนี้สามารถนำเงินไปตัดค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และเงินต้น

เมื่อคุณกู้เงินจากสถาบันการเงิน คุณจะต้องผูกพันตามสัญญาที่ได้ทำไว้ ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือการชำระหนี้ตามกำหนด ถ้าคุณผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะจ่ายไม่ครบตามยอดเรียกเก็บทั้งหมด หรือจ่ายล่าช้า คุณจะต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) เพิ่มเติม

ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) เป็นการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่คุณไม่จ่ายหนี้ตรงเวลา ซึ่งทำให้ผู้ให้บริการสูญเสียโอกาสในการนำเงินไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ และเพิ่มความเสี่ยงในการไม่ได้รับคืนเงินต้นและดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) จะขึ้นอยู่กับสัญญาและข้อตกลงที่คุณได้ทำไว้กับผู้ให้บริการ โดยปกติแล้วจะมีอัตราร้อยละตามที่ระบุไว้ในสัญญา แต่ไม่เกิน 15% ต่อปีของยอดหนี้ที่ค้างชำระ

การคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) จะขึ้นอยู่กับวิธีการที่ผู้ให้บริการใช้ โดยมีวิธีการสองแบบ คือ

- วิธีการแบบเดิม:
เป็นวิธีการที่สถาบันการเงินใช้ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ของวิธีการแบบใหม่ โดยใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาและคำนวณจากเงินต้นที่ค้างชำระทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะผิดนัดชำระหนี้เพียงงวดเดียวหรือหลายงวด เช่น ถ้าคุณผิดนัดชำระค่างวด 1,000 บาท เมื่อถึงวันที่ต้องชำระค่างวดถัดไป และยอดหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดของคุณคือ 10,000 บาท คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) เพิ่มเติม 158.33 บาท (อัตราดอกเบี้ย 19% ต่อปี คำนวณจาก 10,000 x 19% / 12 เดือน) วิธีการแบบเดิมนี้จะส่งผลให้คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) เพิ่มขึ้นอย่างมาก

- วิธีการแบบใหม่: เป็นวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแนวปฏิบัติใหม่ เพื่อลดโอกาสให้เกิดหนี้เสียและลดภาระของลูกหนี้ โดยใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวกไม่เกิน 3% และคำนวณจากเงินต้นของงวดที่ผิดนัดจ่าย เช่น ถ้าคุณผิดนัดชำระค่างวด 1,000 บาท เมื่อถึงวันที่ต้องชำระค่างวดถัดไป คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เบี้ยปรับ) เพิ่มเติม 19 บาท (อัตราดอกเบี้ย 19% ต่อปี คำนวณจาก 1,000 x 19% / 12 เดือน) วิธีการแบบใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

2. เสียประวัติเครดิต

สิ่งที่สองที่คุณจะต้องเผชิญเมื่อผิดนัดชำระหนี้คือ เสียประวัติ เพราะสถาบันการเงินจะรายงานข้อมูลการชำระหนี้ของคุณไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau) ซึ่งเป็นองค์กรที่รวบรวมและจัดการข้อมูลเครดิตของผู้ใช้บริการสถาบันการเงิน

ประวัติการชำระหนี้ของคุณจะส่งผลต่อการทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต เช่น ถ้าคุณต้องการกู้เงิน กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ หรือรีไฟแนนซ์บ้าน สถาบันการเงินที่คุณสมัครจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของคุณจากระบบของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เพื่อพิจารณาว่าคุณมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้อย่างมีวินัยหรือไม่

ถ้าคุณมีประวัติการชำระหนี้ล่าช้าบ่อย ๆ หรือมีการค้างชำระหนี้ เป็นไปได้ว่าสถาบันการเงินจะปฏิเสธการให้สินเชื่อของคุณ หรือให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติ เพื่อลดความเสี่ยง

และถ้าคุณผิดนัดชำระหนี้มากกว่า 90 วัน หรือ 3 งวด คุณจะถือว่าเป็นผู้มีปัญหาการชำระหนี้ (Non-Performing Loan) ซึ่งจะทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินของคุณยากขึ้นมาก เพื่อให้ประวัติการชำระหนี้ของคุณกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง คุณจะต้องไม่ผิดชำระหนี้ใด
 
3. เสียโอกาสในการกู้ครั้งต่อไป

การไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาไม่เพียงแต่ทำให้คุณต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แต่ยังทำให้สถาบันการเงินไม่เชื่อมั่นในคุณซึ่งอาจทำให้คุณเสียโอกาสในการกู้เงินครั้งต่อไป โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการกู้ยืมเงินในปริมาณมาก ๆ เช่นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถบรรทุก หรือสินเชื่อรถยนต์ ที่ต้องการความเชื่อถือจากสถาบันการเงินในการอนุมัติเงินกู้ โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการเงินจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของคุณ ทุกครั้งก่อนที่จะอนุมัติสินเชื่อ ดังนั้นควรใช้เวลาวางแผนการชำระหนี้ให้ดี เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการกู้เงินและความน่าเชื่อถือในตลาด

4. เสียทรัพย์เพราะถูกฟ้องร้องหรือยึดทรัพย์สินเพื่อมาชำระหนี้

หากคุณมีหนี้สินค้างชำระและไม่ชำระเงินตรงเวลา คุณอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรง สถาบันการเงินอาจฟ้องร้องคดีแพ่งเพื่อเรียกคืนหนี้ สถานการณ์ที่แย่ที่สุดคือการถูกตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลาย แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นคดีแพ่งและไม่มีโทษจำคุก เพราะยังเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง หากคู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้ อาจใช้เวลาหลายปีกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งการไปศาลแต่ละครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และคุณจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ต้องเจอ

วิธีรับมือ ถ้าไม่อยากเสียค่าปรับ

หนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากมี แต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องการเงินด่วนหรือต้องการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูง เราอาจจำเป็นต้องกู้เงินหรือผ่อนชำระ แต่ถ้าไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด ก็อาจต้องเสียค่าปรับที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เราติดหนี้ยิ่งขึ้น ไมโครลิสซิ่งจะมาแนะนำวิธีการที่สามารถช่วยให้เราจ่ายหนี้ล่าช้า ให้สม่ำเสมอและตรงเวลาที่กำหนด

1. ศึกษาสัญญาและเงื่อนไข

ถ้าผู้กู้ยืมสมัครสินเชื่อแล้วมีหนี้ที่ต้องชำระ ผู้กู้ยืมควรทราบสิทธิ์และหน้าที่ของผู้กู้ยืมเอง ตามสัญญาและเงื่อนไขที่คุณได้ลงนาม สัญญาและเงื่อนไขจะบอกว่า"ต้องชำระเงินเท่าไหร่ ในช่วงเวลาใด และอัตราดอกเบี้ยที่คิด" สัญญาและเงื่อนไขจะระบุว่า  ผู้กู้ยืมจะได้รับการแจ้งเตือนหรือการดำเนินคดีในกรณีที่คุณไม่ชำระหนี้ตามกำหนด  ดังนั้นผู้กู้ยืมควรอ่านและทำความเข้าใจสัญญาและเงื่อนไขให้ดีก่อนที่จะลงนาม และถ้ามีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน

2. ติดต่อเจ้าหนี้และขอประนีประนอม

วิธีการต่อมาที่ควรทำ เมื่อพบว่าไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด คือ ติดต่อเจ้าหนี้โดยเร็วที่สุด เพื่อแจ้งสถานะการเงินของเรา และขอประนีประนอม เช่น ขอผ่อนชำระใหม่ในอัตราที่เหมาะสมกับความสามารถของเรา ขอลดค่าปรับบางส่วน ขอขยายเวลาชำระ เป็นต้น

การประนีประนอมจะช่วยให้เราได้โอกาสในการจ่ายหนี้ได้อย่างไม่เครียด และไม่กระทบกับการใช้จ่ายปกติของเรา เพื่อให้การประนีประนอมสำเร็จ เราควรพูดคุยกับเจ้าหนี้โดยซื่อสัตย์ และแสดงความกระตือรือร้นในการชำระหนี้ เจ้าหนี้บางคนอาจจะไม่ยินยอมให้อภัยค่าปรับทั้งหมด แต่อาจจะลดลงให้อยู่ในระดับที่เราจ่ายได้

3. หาเงินจากแหล่งอื่น

วิธีการที่ 3 เมื่อเราไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด คือ หาเงินจากแหล่งอื่น เพื่อชำระหนี้ให้เสร็จ และหลีกเลี่ยงค่าปรับ เช่น ขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น หางานเสริม ขอยืมเงินจากญาติหรือเพื่อน หรือกู้เงินจากสถาบันการเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า

การหาเงินจากแหล่งอื่นจะช่วยให้เราได้เงินด่วน และไม่ต้องเสียค่าปรับที่สูงขึ้น แต่ในการทำเช่นนี้ เราต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การขายทรัพย์สินอาจทำให้เราขาดสิ่งที่ต้องการใช้ในอนาคต การหางานเสริมอาจทำให้เราไม่มีเวลาพักผ่อน การขอยืมหรือกู้เงินอาจทำให้เราต้องผูกพันกับผู้ให้ยืม เป็นต้น

4. ขอความช่วยเหลือจากผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน

วิธีการที่ 4 เมื่อไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด คือ ขอความช่วยเหลือจากผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน เช่น ผู้ให้คำปรึกษาระบบบัญชี ผู้ให้คำปรึกษาระบบการบริหารการเงิน ผู้ให้คำปรึกษาระบบการลดหนี้ เป็นต้น

การขอความช่วยเหลือจากผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน  จะช่วยให้เรารับทราบถึงสถานะการเงินของตัวเอง และได้คำแนะนำในการจัดการและแก้ไขปัญหาการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้อยู่ในสถาณ์ล่าช้า เช่น การวิเคราะห์กระแสเงินสด การวางแผนการใช้จ่าย การปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น

5. ตั้งเวลาเตือน เมื่อถึงกำหนดวันชำระ

เมื่อผู้กู้ยืมมีหนี้ที่ต้องชำระในวันที่กำหนด แต่อาจลืมหรือไม่สะดวกในการจ่ายเงิน ซึ่งอาจทำให้ผู้กู้ยืมเสียเครดิต หรือต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่ม วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือการตั้งเวลาเตือนในโทรศัพท์ หรือใช้แอปพลิเคชันที่มีฟังก์ชันการแจ้งเตือน เพื่อให้ได้รับการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดวันชำระหนี้ การตั้งเวลาเตือนจะช่วยให้คุณไม่พลาดการชำระหนี้ และสามารถบริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณข้อมูล: www.1213.or.th ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย Hotline: 1213

หากท่านใดสนใจ ขอสินเชื่อซื้อขายรถบรรทุก ไมโครลิสซิ่ง ขวัญใจสิบล้อ อนุมัติง่าย ทราบผลไว ให้วงเงินสูง มีเจ้าหน้าที่ให้บริการถึงบ้านทั่วประเทศ มีบริการ คำนวณสินเชื่อ , คำนวณ ค่างวดผ่อนชำระ และ ยอดสินเชื่อที่กู้ได้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมายฯ สามารถ ค้นหาสาขา ใกล้ท่านได้แล้ววันนี้ ต้องการให้คำปรึกษาทางด้านการเงินและสินเชื่อเพิ่มเติม โทร. 034-109-200 หรือ แอดไลน์มาที่ @microleasing

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมของ ไมโครลิสซิ่ง ขวัญใจสิบล้อ
Website: https://www.microleasingplc.com
Tiktok: https://www.tiktok.com/@microleasing
Facebook : https://www.facebook.com/Microleasing
Youtube : https://www.youtube.com/@microleasing
Line Official Account: @microleasing